AHA หรือแอลฟาไฮดรอกซีแอซิด (Alpha Hydroxy Acid) ที่เรียกกันว่ากรดผลไม้ เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหาร เช่น กรดเมลิกแอปเปิ้ล กรดซิตริกในมะนาว กรดทาริกในองุ่น กรดแลกติกในนมเปรี้ยว และกรดไกลโคลิกในอ้อย เป็นต้น ช่วยต่อต้านการแก่ของผิวหนัง จากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งและศูนย์วิจัยในอเมริกา เช่น มหาวิทยาลัยฮานีแมน มหาวิทยาลัยเพ็นซิลวาเนีย เทมเปิล และยูซีแอลเอ พบว่า
ให้ผลดังนี้
- มีประสิทธิภาพเมื่อใช้กับผิวหนัง และผิวที่แห้งมาก
- ขจัดสิวอุดตัน และทำความสะอาดรูขุมขน
- เพิ่มความนุ่มและความตึงของผิวหนัง
- ขจัดปัญหาน้ำมันและสิวบนใบหน้า
- ป้องกันอันตรายต่อผิว เนื่องจากสารชะล้าง เป็นต้น
- ลดการเปลี่ยนสีผิว และจุดด่างดำ (Age Spots)
- ป้องกันผิวหนังได้ดีเท่ากับการรักษาผิว
มีการใช้ AHA ในเครื่องสำอางมาหลายปี บ่อยครั้งใช้ในการปรับความเป็นกรดด่าง (pH) การค้นพบประสิทธิภาพของ AHA ต้องยกย่องให้ ดอกเตอร์ ยูจีน แวนสก๊อต แพทย์ทางผิวหนัง ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านคลีนิก ภาควิชาตจวิทยา มหาวิทยาลัยฮานีแมน รัฐฟิลเดลเฟีย มีการเริ่มใช้ AHA ครั้งแรกโดยการทดลองรักษาในคนไข้ที่มีอาการผิวแห้งแล ะพบว่า AHA ยังมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยม ในการรักษาสิวและจุดด่างดำ กลไกการออกฤทธิ์ AHAที่ผิวนอกหรือลึกลงไปจะน้อยหรือมาก ขึ้นกับกลไกการออกฤทธิ์ของกรดแต่ละชนิด
การลอกหน้าด้วยสารเคมี เป็นการใช้สารเคมีทาบนผิวหน้า ทำให้เกิดการลอกหลุดของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ตามมาด้วยการสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นใหม่จากข้างใต้ ผิวหนังใหม่จะมีความนุ่มนวล และสีผิวสม่ำเสมอกว่าเดิม นอกจากนั้นเชื่อว่า การที่ผิวหนังมีการอักเสบจากการใช้สารเคมีนี้จะทำให้ มีการหลั่งสารหลั่งบาง ชนิด ไปกระตุ้นให้มีการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้น
การลอกหน้าโดยใช้สารเคมี มีระดับความลึกต่างๆกัน ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
1. ชนิดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เช่น glycolic acid 30-70%, trichloroacetic acid 10-30% , salicylic acid 30-50%, phenol(carbolic acid), Jessner's solution
2. วิธีการขณะทำการลอกหน้า เช่น ทากี่ครั้ง ระยะเวลาที่สารเคมีสัมผัสผิวหน้า ใช้สำลีหรือแปรง การนวดผิวหน้าขณะทาสารเคมี
3. ผิวหน้าของผู้รับการรักษาเอง แต่ละคนไวต่อสารเคมีมากน้อยต่างกัน นอกจากนั้นการได้การรักษาบางอย่างมาก่อน ก็มีผลเช่นกัน เช่น การทากรดผลไม้ (AHA), การทากรดวิตะมินเอ (Retinoic acid), การทายาจำพวกสเตียรอยด์ , การทายารักษาฝ้าบางชนิดเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อการลอกหน้ามากขึ้น
การออกฤทธิ์ AHA
คนที่มีอายุมากขึ้น ขั้นตอนในการลอกผิวหนังจะช้าลง การใช้ AHA ช่วยละลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งยึดติดอยู่ระหว่างเ ซลล์ที่ตายแล้วกับผิว หนังในชั้น Stratum Corneum ทำให้ชั้นบนสุดของผิวหนัง ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วลอกออกอย่างรวดเร็วและสม่ำเส มอทำให้รูขุมขนไม่อุด ตันช่วยในการขับน้ำคัดหลั่งของต่อมเหงื่อ เซลล์ใหม่ที่ขึ้นทดแทนเซลล์เก่าทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ทำให้ผิวหนาขึ้นช่วยป้องกันและปกป้องผิวจาก มลภาวะแวดล้อม และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การเร่งหลุดออกของเซลล์ทำให้ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยย่นหลังจากการใช้หลาย ๆ ครั้ง จากการศึกษาของการผลิตภัณฑ์ AHA ประจำวันคือ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง ผิวเรียบมากขึ้น ผิวหนังสุขภาพดีและสะท้อนแสงอย่างสม่ำเสมอทำให้ผิวดู อ่อนกว่าวัย กรด AHA ให้ผลคล้าย เรติน-เอ อันเป็นสารที่นิยมใช้ในการรักษาสิว และบำรุงผิวในทศวรรษที่ 80 (1980) แต่มีผลข้างเคียงเป็นอันตรายต่อผิวอย่างมาก เนื่องจากเรติน-เอ ทำให้ผิวหน้าส่วนบนบางลง ริ้วรอยบนใบหน้าดูจางลง สิวหลุดลอก หากใช้ไปนาน ๆ ผิวหน้าจะไวต่อแสงแดด และรู้สึกระคายเคืองมากเมื่อเทียบกับ AHA
ไกลโคลิก ซึ่งเป็นสารเด่นของ AHA มีขนาดโมเลกุลเล็ก เมื่อผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจึงออกฤทธิ์ได้ผลดีที่สุดเพราะว่าสามารถซึม เข้าผิวหนังได้โดยง่ายเป็นที่น่าสังเกตว่ากรดไกลโคลิก ได้ผลดีกับผิวหนังที่แห้งมาก นอกจากนี้กรดไกลโคลิก ยังทำหน้าที่สารฟอกจางสีผิวที่มีประสิทธิภาพดีกว่าไฮ โดรควิโนน ผลจากการทำ AHA Treatment
๑. การรักษาสิว การลอกผิวหนังช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด Comedone
๒. ใช้ในการรักษาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอบนใบหน้า จากกระ ฝ้าชนิดตื้น กระแดด ความผิดปกติของสีผิวที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้า
แต่ภาวะบางอย่างที่มีความผิดปกติอยู่ลึก มักไม่ได้ผลจากการลอกหน้าด้วยสารเคมี เช่น ไฝ ขี้แมลงวัน รอยดำหลังการอักเสบที่มีเม็ดสีอยู่ในชั้นลึก เป็นต้น
๓. ใช้รักษาร่องรอยแผลเป็นจากสิว
๔. ใช้รักษาร่องรอยเหยวย่นบนใบหน้า ได้ผลกับรอยย่นที่ตื้นๆ
วิธีใช้
หลังจากล้างหน้าให้สะอาดแล้ว จะมีการทาAHAบนบริเวณใบหน้า 3-5 นาทีในกรณีที่เพิ่งเริ่มใช้และ 5-15 นาทีในกรณีที่คุ้นเคยหรือมีการทำทรีทเม้นท์มาก่อนแล้ วในระดับความเข้มข้นที่ น้อยกว่า ระหว่างที่ทำการใช้จะมีอาการแสบและรู้สึกยิกๆ บริเวณที่ผิวแต่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดภายใน 6-8 สัปดาห์จะรู้สึกว่าร่องรอยที่เกิดจากสิว สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจะดูดีขึ้นริ้วรอยต่างๆจะจางลงอย ่างเห็นได้ชัด
คำแนะนำเพิ่มเติม : หลังจากใช้ AHA แล้วควรใช้ครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นวันที่ไม่มีแดด หรือฝนตกก็ตาม
ไม่มีผลกระทบต่อผิวของคุณ ไม่เกิดการแพ้ ได้ทุกสภาพผิว ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการแพ้
30% เหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่าย คนที่ไม่เคยใช้ AHA สามารถทำอาทิตย์ ละ 2-3 ครั้ง
50% จะะเข้มข้นกว่า 30% ไม่กัดหน้า แต่จะคันยิบๆ หน่อยเท่านั้น หน้าไม่แสบ ไม่แดง ไม่ลอก ไม่บาง แน่นอน หน้าจะขาวใสขึ้น เพียงแค่ทำ 2 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่เคยใช้แบบเข้มข้น 30% มาก่อนแล้ว หรือผู้ที่เคยทำ AHA บ่อย เคยไปทำกับคุณหมอในระดับเปอร์เซนต์สูง ๆ มาแล้วสามารถใช้ได้ หน้าจะใสเร็ว เพราะเป็นเจลแบบเข้มข้น ทำอาทิตย์ละ ครั้งก็พอ สำหรับผิวกายใช้ได้เลย ตรงรอยด้านดำ บริเวณข้อศอก หัวเข่า หรือบริเวณก้น
ข้อควรระวัง
ระวังอย่าให้เข้าตา ให้ทดสอบการแพ้โดยลองทาที่ใต้ท้องแขน หรือข้างหูก่อน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ช.ม.จึงล้างออก
หากมีอาการผิดปกติให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์ ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือได้รับคำแนะนำจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
http://www.cheerieshop.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น